การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม รูปวัตถุเป็นตัวแทนทําให้เราระลึกพระพุทธองค์ดังนั้น จึงถือว่าเป็น
พระพุทธเจ้าผู้ดํารงพระชนม์อยู่เช่นเดียวกัน

การถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งก็เหมือนกัน คือ เราถึงนามธรรมคือคุณความดีของพระ
ธรรมอันได้แก่มรรค ๔ และอริยมรรคมีองค์๘ เป็นที่พึ่ง เพราะมรรค ๔ เหล่านั้นชื่อว่า ธรรม
แปลว่า สภาวะทรงไว้คือ คุ้มครองเหล่าสัตว์ไม่ให้ตกอบาย เนื่องด้วยผู้บรรลุมรรคแรก
เป็นต้นไปจนถึงมรรคสุดท้ายไม่ต้องตกอบาย และอริยมรรคมีองค์๘ ก็เป็นแนวทางแห่ง
ความหลุดพ้นจากวัฏฏะอย่างแท้จริง

การถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งก็เช่นเดียวกัน คือ เราถึงนามธรรมคือคุณความดีของพระอริย
สงฆ์ที่จําแนกเป็นพระโสดาบันเป็นต้นเป็นที่พึ่ง ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็น
บรรพชิตก็ได้มีชีวิตอยู่ก็ได้ปรินิพพานแล้วก็ตาม ท่านเหล่านั้นประกอบด้วยศีล สมาธิและ
ปัญญาอันไพศาล จึงเป็นอริยสงฆ์คือ สงฆ์ผู้ประเสริฐ

กระทั่งพระอริยสงฆ์ก็ยังถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือ ท่านถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
โดยเป็นศาสดา ถึงพระธรรมที่อยู่ในใจของตนเป็นที่พึ่งโดยมรรค ๔ เป็นจุดมุ่งหมายของการ
ปฏิบัติและอริยมรรคมีองค์๘ เป็นแนวปฏิบัติและถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง โดยเป็น
พรหมจารีคือ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ (ข้อประพฤติอันประเสริฐ) ร่วมกัน

ส่วนสงฆ์ที่โกนหัวนุ่งหุ่มจีวรนี้ชื่อว่า สมมุติสงฆ์คือ สงฆ์โดยสมมุติไม่ใช่สงฆ์อันเป็น
ที่พึ่งในรัตนตรัย เพราะปุถุชนอาจเปลี่ยนแปลงได้แต่ชาวบ้านกราบไหว้พระสงฆ์เหล่านั้นใน
ฐานะที่มีศีลมากกว่าตน หรือเป็นครูบาอาจารย์ของตน แต่ถ้าท่านเป็นพระอริยบุคคลด้วย
การกราบไหว้หรือถวายทานแก่ท่านเหล่านั้นก็นับว่าได้บูชาพระอริยสงฆ์ไปพร้อมกัน

พระคันธสาราภิวงศ์