ถ้าใจเป็นธรรม การทำงานก็เป็นการปฏิบัติธรรมได้ !
งานทางโลกมีอยู่สองแบบ
แบบแรก เข้าฝ่ายอธรรม
ไม่มีทางปรุงแต่งใจให้เป็นธรรม
ได้แก่ งานที่ผิดศีลผิดธรรม เช่น
ต้องลงมือฆ่าเอง ซึ่งใจจะเปื้อนเลือด
ต้องฉกฉวยคดโกง ซึ่งใจจะคดงอ
ต้องหมกมุ่นในกามผิดๆ ซึ่งใจจะตกต่ำ
ต้องปั้นน้ำเป็นตัวตลอด ซึ่งใจจะเบี้ยวบิดผิดเพี้ยน
ต้องมีเอี่ยวกับยาเมา ซึ่งใจจะฟุ้งซ่านไร้สติ
งานอันมีความเป็นอธรรม
แม้ภายนอกดูดีมีเงิน
แต่ภายในมืดดำ ทำให้รู้สึกแย่ รู้อยู่แก่ใจ
คล้ายป่ารกที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก
เต็มไปด้วยขวากหนามทิ่มแทง
มองเห็นแสงสว่างยาก
หยุดปวดแสบปวดร้อนยาก
ยิ่งถลำเข้าลึกไปไกลขึ้นเท่าไร
ก็ยิ่งเห็นแต่อะไรๆ
ในความมืดของป่ารกพร่าเพี้ยนมากขึ้นเท่านั้น
จิตที่ทำงานฝ่ายอธรรม
จึงไม่อาจรู้สึกดีกับตัวเอง
ไม่อาจดัดให้ตรง
ไม่อาจมองเห็นอะไรตรงตามจริง
ไม่อาจรวมลงเป็นสมาธิที่โปร่งใส
และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือ
ไม่อาจยอมรับว่ากายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
งานฝ่ายอธรรม
จึงไม่อาจปฏิรูปเป็นเวทีปฏิบัติธรรมได้
งานที่เป็นตรงข้ามกับงานฝ่ายอธรรม
อาจไม่จำเป็นต้องเป็นงาน ‘ธรรมะจ๋า’
ไม่ต้องช่วยกันเผยแผ่ธรรมะ
ไม่ต้องชวนใครเจริญสติ
ไม่ต้องรวมตัวกันนั่งสมาธิ
แต่ต้องเป็นงานที่ ‘ไม่ปิดกั้นธรรมะ’
กล่าวคือ ทำงานแล้วเอาเจริญสติต่อได้
เพื่อจะดูว่างานของคุณเข้าข่ายนี้ไหม
ให้สังเกตในระหว่างวัน
หลังจากทำงานสักพัก
กระทั่งเกิดสมาธิในงานบ้างแล้ว
คุณสามารถรู้ได้หรือเปล่าว่า
กำลังเกิดอะไรขึ้นกับกายใจนี้
เช่น หลังจากประกอบของในโรงงาน
หลังจากเช็คสต็อคในโกดัง
หรือหลังจากประชุมยาวเป็นชั่วโมงๆ
ต้องตั้งใจโฟกัสกับเนื้อหาการประชุม
ต้องเสนอ ต้องโต้แย้ง ต้องเห็นค้าน
จบประชุมแล้ว นึกถึงลมหายใจตัวเองได้ไหม?
ยังรู้สึกได้ไหมว่า
อารมณ์คุกรุ่นขุ่นข้อง ไม่เท่าเดิมในแต่ละลมหายใจ?
อารมณ์เครียดเขม็ง ไม่เท่าเดิมในแต่ละลมหายใจ?
อารมณ์ยิ้มร่ารับความสำเร็จ ไม่เท่าเดิมในแต่ละลมหายใจ?
หากใจยังมีความตรง ยังมีความสะอาด
ยังมีความเต็มใจจะรับรู้ถึงความไม่เที่ยงในตนได้
ไม่เห็นเป็นเรื่องตลกไร้สาระ
นั่นแหละ! เครื่องยืนยันว่า
งานของคุณไม่ปิดกั้นธรรมะ
คุณใช้เป็นบันไดเพื่อต่อยอดการปฏิบัติธรรมได้!
ปัญหาสามัญขั้นต่อมา คือ
นักปฏิบัติธรรมที่หวัง ‘ปฏิบัติธรรมเป็นอาชีพ’ บางคน
ยังมีความยึดมั่น ใคร่ถือเอาการทำงานในออฟฟิศ
เป็นเวทีปฏิบัติธรรม
ให้เกิดสติรู้กายใจได้ตลอดเวลา
เรียกว่าไม่อยากพลาดการปฏิบัติกันสักนาทีเดียว
อันนั้น นอกจากจะเป็นการตั้งโจทย์ที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
ยังเสียหายกับจิต
ทำให้จิตพลัดหลงไปจากทางถูกทางตรงเอาง่ายๆด้วย
คุณต้องเข้าใจให้ดีว่า
การตั้งโจทย์ที่เป็นไปไม่ได้
ก่อให้เกิดความความอยาก
ความปั่นป่วน ที่ไม่อาจลงเอยเป็นความสมใจ
ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น
คือใจที่ระส่ำระสาย เป็นทุกข์ไม่เลิก
อันนี้น่าทบทวนว่า
คุณเอาเวลาเกือบทั้งหมดไปเป็นทุกข์
กับความอยากปฏิบัติธรรมหรือเปล่า
ปฏิบัติธรรมในที่ทำงานแล้วหายทุกข์
บรรเทาความตึงเครียดที่เกิดจากงานได้
ลดอารมณ์อยากทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงานได้
นั่นแหละ! หลักฐานเบื้องต้นว่า
กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในที่ทำงานแล้ว
สรุปคือ
จะปฏิบัติธรรมในที่ทำงานได้
งานของคุณต้องไม่เป็นงานอธรรม
งานของคุณต้องไม่ปิดกั้นธรรมะ
และตัวคุณเองต้องเข้าใจหลักการเจริญสติแล้วอย่างดี
ถ้ามีประสบการณ์เห็นกายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนไว้ก่อน
ก็จะยิ่งมีแนวโน้มประสบความสำเร็จสูงขึ้น
เพราะคุณไม่มีทางเอาออฟฟิศ
เป็นศูนย์ปฏิบัติได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
อย่างน้อยต้องสงบบ้างแล้วเป็นทุน
จึงมีแก่ใจคิดเจริญสติตามโอกาสอำนวยได้!
Credit : BuranaBuddha.org