ทำทานโดยไม่รักษาศีล หรือ ทำทานรักษาศีลแต่ไม่เจริญสติ

ทำทานโดยไม่รักษาศีล ต่อไปมักเป็น คนรวยที่ใจร้าย

ทำทาน รักษาศีล แต่ไม่เจริญสติ ต่อไปอาจเป็น คนดีที่หาทางออกจากทุกข์ไม่เจอ

 

 

 

การให้ทานที่หวังผลได้ในปัจจุบัน
คือ ยิ่งให้เท่าไร
ยิ่งเห็นชัดว่าชาตินี้ ‘รวยน้ำใจ’ ขึ้นเท่านั้น
และถ้าน้ำใจมาก น้ำหนักความสุขก็จะเพิ่มขึ้น
อย่างเป็นสัดเป็นส่วนกัน

ส่วนผลในอนาคต เช่น ‘ความมั่งคั่ง’ นั้น
ก็เพราะจิตก่อภพอันกว้างขวางของ ‘ผู้ให้’ เอาไว้
นักทำทาน ย่อมถือกำเนิดในแดนเกิดอันปลอดโปร่ง
สมควรกันกับจิตใจที่เผื่อแผ่ออกไป
น้ำใจเป็นสิ่งที่เพิ่มได้ไม่จำกัด
และนั่นก็จะเป็นเหตุให้ชาติถัดไปรวยได้ไม่จำกัดเช่นกัน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

#ทำทาน #แต่ไม่รักษาศีล

บางคนชอบทำทาน แต่ไม่ชอบรักษาศีล
บางคนชอบรักษาศีล แต่ไม่ชอบทำทาน
ผลเลยออกมาลักลั่นอย่างที่เห็นโดยทั่วไป
เช่น บางคนสุดหล่อสุดสวย
แต่ยากจนและมีเครื่องยั่วให้เอาตัวไปขาย
บางคนฐานะดีมีปัญญาครบ
แต่ขี้ริ้วขี้เหร่จนเป็นปมด้อยไปทั้งชาติ

การรักษาศีลได้บุญยิ่งกว่าการให้ทานทั้งปวง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ‘ศีลได้ชื่อว่าเป็นมหาทาน’
เพราะทำให้สัตว์โลก เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขของเรา
รอดพ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากน้ำมือของเรา

ทำความวิบัติฉิบหายให้แก่ทรัพย์ของคนอื่น
ย่อมรับผลเป็นความพินาศแห่งทรัพย์ของตนเช่นกัน
แม้การให้ทานในอดีตจะได้บันดาลทรัพย์ไว้มาก
ทรัพย์นั้นย่อมถึงความวิบัติ

 

ความรวยจากการเป็นคนทุศีลนั้น
เหมือนตั้งสมบัติไว้บนเขตที่แผ่นดินไหวบ่อย
ไม่แน่ว่าสมบัติจะพังราบไปเมื่อใด
หรือกระทั่งตัวเจ้าของจะต้องตายตามสมบัติในวันไหน

ทั้งทานและศีลเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันและกัน
เช่น เมื่อทำทานจนชอบเป็นผู้ให้
ย่อมกระดากแม้จะเป็นผู้รับสักครั้ง
ไหนเลยจะริอ่านผิดศีลขโมยของใครมาเป็นของตน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

#ทำทานรักษาศีล #แต่ไม่เจริญสติ

บางคนบอกว่า ให้ทาน รักษาศีลมามาก
ทำไมยังทุกข์อยู่?
นั่นก็เพราะยัง ‘ยึดมั่น’ กาย และ
ความรู้สึกนึกคิดอย่างเหนียวแน่น
ไม่เคยสังเกต ไม่เคยทำให้สติเจริญขึ้นมารู้เลยว่า
กายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน

ทานกับศีลนี่เปรียบเหมือนเรือ
คุณต่อเรือไว้ได้แล้ว ขึ้นไปนั่งบนเรือได้
ปลอดภัยระดับหนึ่ง ไม่จมน้ำ
แต่ว่าจะพายไปถึงฝั่งของความปลอดภัยได้หรือเปล่า
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่า คุณรู้จักทิศทางที่จะขึ้นฝั่งแค่ไหน
การเจริญสติ เปรียบเหมือนการจ้วงพาย
ให้เรือมันไปถึงฝั่งได้

 

เจริญสติเพื่ออะไร
เพื่อให้เห็นว่าในขอบเขตกายใจนี้
มันเป็นของหลอกชั่วคราว มันไม่มีอะไรจริงสักอย่าง
กายใจนี้ไม่เที่ยง
อะไรเกิดขึ้น อะไรนั้นจะต้องดับไปเสมอ
อะไรที่เรามีอยู่ คือ อะไรที่เราจะต้องเสียไปเสมอ
จิตที่เข้าใจวิธีเจริญสติ
ย่อมพ้นทุกข์ด้วยความสว่างสดใสทางปัญญา
ตรงนี้นี่ที่มันจะพาเราไปถึงฝั่งได้จริง
ไม่ใช่ทาน ไม่ใช่ศีลนะครับ

สรุป คือว่า เรื่องของความตั้งมั่นทางใจ
มีระดับของทาน ศีล ภาวนา
ถ้าไม่ภาวนา ก็ไม่มีทางไปนิพพาน
เหมือนกับคุณต่อเรือไว้แล้ว แต่คุณไม่พายไปขึ้นฝั่ง!

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

#เจริญสติ #แต่ไม่ทำทานรักษาศีล

 

 

คนที่เจริญสติเป็น
ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกว่า
จิตคับแคบไม่ดี ให้ทานดีกว่า เปิดกว้างดีกว่า
จิตสกปรกไม่ดี รักษาศีลดีกว่า ทำให้สะอาดดีกว่า

การปฏิบัติธรรม เจริญสติ
เป็นบุญขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา
ดีกว่าการทำทานและรักษาศีล
แต่ถ้าไม่ทำทาน ไม่รักษาศีลไว้ก่อน
ไม่รู้จักการเสียสละ การมีน้ำใจ การให้ทานบ้าง
หรือ มีจิตสกปรกอยู่ตลอดเวลา
มีความบิดเบี้ยวผิดเพี้ยน เห็นผิดบ้างเห็นถูกบ้าง
ก็จะเจริญสติไม่ถูก
เจริญสติไป ก็เหมือนกับแกล้งๆ
เหมือนเป็นเรื่องตลก
และไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

 

 

สรุปคือ ทาน ศีล และภาวนา
เป็นตัวเสริมซึ่งกันและกัน
ถ้าใครทำทานไม่สำเร็จ รักษาศีลไม่สำเร็จ
ก็ ‘ไม่มีบุญพอ’ จะเจริญสติสำเร็จได้เลยเช่นกัน!

Credit : Dungtrin.com